พงศาวดารเหนือเล่าว่า
พระเจ้ากรุงจีนมีธิดาบุญธรรมชื่อ
“พระนางสร้อยดอกหมาก”
เมื่อเติบโตขึ้นมีรูปโฉมงดงาม
พระเจ้ากรุงจีนได้จัดให้อภิเษกสมรส
กับ “พระเจ้าสายน้ำผึ้ง” ผู้ครองกรุงอโยธยา
พระเจ้าสายน้ำผึ้งจัดขบวนเรือ
ไปรับพระนางสร้อยดอกหมากถึงเมืองจีน
เมื่อเรือกลับมาจอดเทียบท่าที่อโยธยา
พระนางสร้อยดอกหมากไม่ยอมขึ้นจากเรือ
เพราะพระเจ้าสายน้ำผึ้งไม่ได้ออกไปรับ
ด้วยพระองค์เอง แถมยังกล่าวสัพยอกว่า
“เมื่อไม่อยากขึ้นจากเรือ ก็จงอยู่ที่นั่นเถิด”
ซึ่งเป็นเหตุให้พระนางสร้อยดอกหมากน้อยใจ
จนถึงกับกลั้นใจตาย
พระเจ้าสายน้ำผึ้งเสียพระทัยมาก
ได้เชิญศพพระนางขึ้นพระราชทานเพลิง
แล้วสร้างวัดขึ้นบริเวณนั้นเป็นอนุสรณ์
ชื่อ วัดพระนางเชิง (เชิง แปลว่า แง่งอน)
แล้วเพี้ยนมาเป็น “วัดพนัญเชิง” ในที่สุด
…
บ่ายวันนั้น ในศาลเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก
ที่อยู่ริมแม่น้ำข้างวิหารวัดพนัญเชิง
อบอวลไปด้วยกลิ่นเทียนควันธูป
จากนักเดินทางที่ทยอยเข้ามา
สักการะเจ้าแม่สร้อยดอกหมากอย่างไม่ขาดสาย
“คนส่วนมากมาบนขออะไรกันครับ”
ผมถามหญิงสาวที่ดูแลศาล
“ขอได้ทุกเรื่องนะคะ ทั้งเรื่องงาน
เรื่องเงิน สุขภาพ การเรียน
ขอให้ขายที่ได้ก็มี” เธอตอบ
“#แต่ที่ขอกันมากก็คงเป็น…#เรื่องความรัก”
หากมองอีกมุมหนึ่ง
พระนางสร้อยดอกหมาก
ถูกพ่อแม่ที่แท้จริงทิ้งอยู่ในจั่นหมาก
(จั่นหมาก คือ ช่อดอกของต้นหมาก
อันเป็นที่มาของชื่อพระนาง)
ตั้งแต่แบเบาะ แล้วพระเจ้ากรุงจีนเก็บไปเลี้ยง
เมื่อย่างเข้าวัยสาวก็ยกให้แต่งกับชาย
ต่างชาติต่างภาษาด้วยเหตุผลทางการปกครอง
ครั้นรอนแรมข้ามน้ำข้ามทะเลมา
อย่างเหนื่อยยาก เท้ายังไม่ทันเหยียบแผ่นดิน
กลับโดนฝ่ายชายกล่าวล้อเล่นให้ชวนน้อยใจ…
ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า…
ตลอดชีวิตของพระนางสร้อยดอกหมาก
เคยได้รับความรักแท้จริงบ้างไหม…
และเหตุใดผู้คนจึงพากันมาอธิษฐาน
ขอให้สมหวังในความรัก
จากผู้ที่ถูกพิษรักประหัตประหาร
จนต้องเอาชีวิตมาทิ้งในต่างแดน…
CR ภาพและบทความ
จากคุณ : Pane Somnuek Jirasakanon